AI มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนชั้น ป.4 - ม.3 ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่ม (ภาษาไทย, คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สังคมศึกษา, สุขศึกษาและพลศึกษา, ศิลปะ, การงานอาชีพ, และภาษาต่างประเทศ) ดังนี้
1. ส่งเสริมทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21
AI ช่วยให้นักเรียนฝึกคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา ใช้เหตุผล และสร้างสรรค์ เพราะ AI สามารถนำข้อมูลมาใช้ประเมินสถานการณ์จริง และกระตุ้นให้เด็กตั้งคำถาม ตั้งสมมติฐาน และทดลองแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน
2. ปรับแต่งการเรียนรายบุคคล (Personalized Learning)
AI สามารถวิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อน บันทึกความก้าวหน้าทางวิชาการและทักษะชีวิตของนักเรียนแต่ละคน เพื่อปรับเนื้อหาและกิจกรรมให้เหมาะสมกับระดับและลักษณะการเรียนรู้เฉพาะบุคคล เช่น ในวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือภาษาอังกฤษ ก็สามารถออกแบบบทเรียนและเกมให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. สร้างแรงจูงใจและความสนุกในการเรียนรู้
AI ผสมผสานข้ามศาสตร์ เช่น เกมการศึกษา สื่ออินเตอร์แอคทีฟ ให้นักเรียนสนุกกับสิ่งที่เรียนและเข้าใจบทเรียนอย่างลึกซึ้ง ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริง เช่น โครงงานวิเคราะห์ปัญหาท้องถิ่นด้วย AI
4. พัฒนาทักษะชีวิตรอบด้านในสาระต่าง ๆ
ภาษาไทย/ภาษาต่างประเทศ:
AI ช่วยวิเคราะห์และตรวจประเมินการออกเสียง ฝึกสนทนาและการฟังอย่างแม่นยำ พร้อมแนะนำจุดปรับปรุงทันที
คณิตศาสตร์/วิทยาศาสตร์:
AI วิเคราะห์การเรียนคณิตและวิทย์ ติดตามพัฒนาการและเสนอแนวทางแก้โจทย์ปัญหาด้วยตนเอง
สังคมศึกษา:
ส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมไทย หรือปัญหาสังคมผ่านข้อมูลจริงและการจำลองสถานการณ์
สุขศึกษา/พลศึกษา:
ติดตามสุขภาพ การออกกำลังกาย หรือโภชนาการ เช่น วิเคราะห์ท่าทางการเคลื่อนไหวด้วย AI หรือช่วยตรวจสอบพฤติกรรมสุขภาพ
ศิลปะ:
AI เสริมสร้างจินตนาการ เช่น วาดภาพ เล่นดนตรี จัดนิทรรศการเสมือนจริง
การงานอาชีพ:
เรียนรู้และออกแบบชิ้นงานจริงโดยมี AI ช่วยวิเคราะห์ วางแผนหรือปรับปรุงผลงาน
5. เสริมทักษะการทำงานกลุ่มและจิตสำนึกทางสังคม
AI กระตุ้นให้นักเรียนร่วมกิจกรรมกลุ่ม เช่น ร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูล แก้ไขปัญหา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสริมทักษะการสื่อสารและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
6. ประเมินผลและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
AI ติดตามและรายงานผลการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างเป็นระบบ ทำให้นักเรียนรู้จักประเมินและพัฒนาตนเองทั้งด้านวิชาการและทักษะชีวิต
7. เพิ่มโอกาสการเข้าถึงความรู้และลดความเหลื่อมล้ำ
AI ทำให้เด็กในพื้นที่ห่างไกลหรือมีข้อจำกัดทางเทคโนโลยี สามารถเข้าถึงความรู้เครือข่ายเดียวกับเมืองใหญ่ได้ อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ที่หลากหลายและทั่วถึง
AI จึงเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับทักษะชีวิตและความรู้รอบด้านของนักเรียนไทยยุคใหม่ ให้พร้อมรับมือกับโลกและอาชีพในอนาคตอย่างรอบด้านทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้
การเรียนรู้ AI ด้วย ChatGPT ร่วมกับการฝึกทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานสู่กีฬาใหญ่
สำหรับนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ที่มุ่งเน้นให้นักเรียนมีความฉลาดคิด ฉลาดรู้ ฉลาดใช้
รวมทั้งพัฒนาทักษะชีวิตและแนวทางสู่การมีอาชีพในอนาคต
1. การเรียนรู้ AI ด้วย ChatGPT
วัตถุประสงค์:
- ให้เด็กเข้าใจพื้นฐานของ AI โดยเฉพาะ ChatGPT ที่เป็นเทคโนโลยีช่วยในการถาม-ตอบ วิเคราะห์ข้อมูล และช่วยแก้ปัญหา พร้อมพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และสื่อสาร
การจัดกิจกรรมตามช่วงวัย
ระดับชั้น | กิจกรรมหลัก | ทักษะที่พัฒนา |
---|---|---|
ป.1-ป.3 | - สนทนากับ ChatGPT เพื่อถามคำถามง่าย ๆ เช่น ข้อมูลสัตว์ กีฬา เกม - ฝึกใช้ภาษาในการสื่อสารกับ AI อย่างสุภาพและชัดเจน | การสื่อสาร, การตั้งคำถาม, ความอยากรู้ |
ป.4-ป.6 | - ใช้ ChatGPT ช่วยคิดวางแผน การเตรียมตัวออกกำลังกายและเล่นกีฬาเบื้องต้น - ฝึกแก้ปัญหาง่าย ๆ ด้วยคำแนะนำจาก AI เช่น วิธีฝึกซ้อม การจัดตารางเวลากีฬา | การคิดวิเคราะห์, วางแผน, การแก้ปัญหา |
ม.1-ม.3 | - ใช้ ChatGPT วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับกีฬาระดับสูงขึ้น เช่น เทคนิคการเล่น การเสริมสมรรถภาพทางกาย - ทำงานกลุ่มโดยใช้ AI ช่วยแนะนำกลยุทธ์หรือออกแบบโปรแกรมฝึกซ้อม - ฝึกการสื่อสารโต้ตอบกับ AI เพื่อเตรียมทักษะชีวิตและอาชีพที่เกี่ยวข้องกับกีฬาและ AI | การแก้ปัญหาเชิงซับซ้อน, การสื่อสารอย่างเป็นเหตุเป็นผล, การวางแผนอาชีพ |
2. การฝึกทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานสู่กีฬาใหญ่
วัตถุประสงค์:
- พัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับกีฬาต่าง ๆ เพื่อให้นักเรียนมีความพร้อมด้านร่างกายและจิตใจ รองรับการเล่นกีฬาและอาชีพในวงการกีฬาต่อไป
ทักษะพื้นฐานแต่ละช่วงวัย
ระดับชั้น | ทักษะเคลื่อนไหวหลัก | ตัวอย่างกีฬาใหญ่ที่เกี่ยวข้อง |
---|---|---|
ป.1-ป.3 | - การวิ่ง, กระโดด, การทรงตัว - การจับและขว้างลูกบอล - การเคลื่อนไหวตามจังหวะ | ฟุตบอล, บาสเกตบอล, วอลเลย์บอล, กรีฑา |
ป.4-ป.6 | - การเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การเปลี่ยนทิศทางเร็ว, การกระโดดสูง - การประสานมือและตา - เทคนิคพื้นฐานของกีฬาแต่ละประเภท | ฟุตบอล, ว่ายน้ำ, เทเบิลเทนนิส, แบดมินตัน |
ม.1-ม.3 | - พัฒนาทักษะเชิงเทคนิคสูงขึ้น - การวิเคราะห์และปรับปรุงท่าทาง - การวางแผนกลยุทธ์กีฬา - ฝึกความอดทนและสมาธิ | ฟุตบอล, บาสเกตบอล, วอลเลย์บอล, แบดมินตัน, ว่ายน้ำ, เทนนิส |
3. การบูรณาการ AI กับทักษะการเคลื่อนไหวและกีฬา เพื่อพัฒนานักเรียนฉลาดคิด รู้ ใช้ และทักษะชีวิต
ด้าน | วิธีการประยุกต์ใช้ AI (ChatGPT) | การพัฒนาทักษะชีวิตและอาชีพ |
---|---|---|
ฉลาดคิด (Critical Thinking) | - ใช้ ChatGPT วิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อนของทักษะกีฬา - ตั้งคำถามเพื่อหาวิธีพัฒนาตัวเอง เช่น “ฉันควรฝึกอะไรเพิ่ม?” | ฝึกวางแผนฝึกซ้อม, การคิดเชิงวิจารณ์, แก้ปัญหา |
ฉลาดรู้ (Knowledgeable) | - ขอคำอธิบายเกี่ยวกับกฎกติกา เทคนิคกีฬาต่าง ๆ จาก ChatGPT - เรียนรู้เรื่องการออกกำลังกายที่เหมาะสมและประโยชน์ของกีฬา | เข้าใจเรื่องสุขภาพ, เข้าใจเทคนิคกีฬาที่เหมาะสม |
ฉลาดใช้ (Practical Use) | - ใช้ ChatGPT วางโปรแกรมฝึกซ้อม และจัดตารางกิจกรรม - เรียนรู้วิธีการใช้เทคโนโลยีช่วยวัดผลการฝึกซ้อม เช่น การใช้แอปจับเวลา | ฝึกวินัย, การจัดการตนเอง, การใช้เทคโนโลยี |
ทักษะชีวิตและอาชีพ | - ใช้ ChatGPT เป็นที่ปรึกษาแนะแนวอาชีพในสายกีฬาและสายเทคโนโลยี - ฝึกทำโครงงานที่ใช้ AI และกีฬา เช่น การวิเคราะห์ฟอร์มกีฬา เทคนิคการฝึกสมรรถภาพ | เข้าใจโลกการทำงาน, เรียนรู้ทักษะด้านเทคโนโลยีและกีฬา, การทำงานเป็นทีม |
กิจกรรมเสริม
ป.1-ป.3: สนทนากับ ChatGPT เพื่อทำความรู้จักกีฬาใหม่ ๆ พร้อมฝึกวิ่งและกระโดดในสนามเด็กเล่น
ป.4-ป.6: ใช้ ChatGPT ช่วยวางแผนการฝึกซ้อมเบื้องต้น พร้อมวัดความก้าวหน้าด้วยวิดีโอและแอปมือถือ
ม.1-ม.3: ร่วมทำโครงงานวิเคราะห์ท่าทางการเล่นกีฬาด้วยข้อมูล AI และเขียนรายงานการพัฒนาตัวเองโดยใช้ ChatGPT ช่วยเขียนและสอบถามแนวคิด
การฝึกเพื่อพัฒนาสมรรถภาพให้ได้สถิติระดับโลกในวิ่งลู่ทุกระยะ
(60, 80, 100, 200, 400, 800, 1500 เมตร และวิ่งผลัด)
ต้องใช้วิธีฝึกที่เข้มข้นเป็นระบบและอาศัยหลักวิทยาศาสตร์การกีฬาอย่างเคร่งครัด ดังนี้
1. การวางแผนฝึกซ้อมแบบรอบปี (Periodization)
แบ่ง Phase การฝึก:
ช่วงเตรียมความพร้อม (Preparatory): เน้นฝึก endurance, ความแข็งแรง, เทคนิคเบื้องต้น
ช่วงพัฒนาเฉพาะ (Specific Preparation): เน้นความเร็ว, พลัง, เทคนิคเฉพาะระยะ, ฝึกหนัก–เบาสลับกัน
ช่วงแข่งขัน (Competition) และฟื้นฟู (Recovery): ลดปริมาณ เพิ่มความเข้มข้น พักฟื้นอย่างเหมาะสม
2. เน้นคุณภาพการฝึก (Quality Over Quantity)
วิ่งเร็ว (Sprint) หรือความเร็วสูงสุด (Max Velocity): ต้องฝึกซ้อมที่ ≥90–95% ของความเร็วสูงสุดในเซต-เที่ยวสั้น และพักฟื้นเต็มที่ระหว่างรอบ เพื่อกระตุ้นระบบประสาทกล้ามเนื้อ
หลีกเลี่ยงการฝึกความเข้มข้นปานกลางยืดเยื้อ (70–95%): เพราะส่งผลน้อยต่อการพัฒนาหลัก
ฝึกเทคนิค: เช่น ท่าออกตัว การเร่ง การควบคุมช่วงก้าว การเข้าเส้นเป็นต้น
3. การผสมผสานระหว่าง endurance และ speed
วิ่งระยะกลาง–ยาว ให้เน้นฝึกความทน endurance ด้วยการวิ่งยาว (long run), tempo run, interval, fartlek
เติม speed work และ sprint interval แม้ในช่วงฝึก endurance เพื่อสร้างกล้ามเนื้อเร็วและฝึกระบบแอนแอโรบิค
สัดส่วนการฝึกแอนแอโรบิคสำหรับ middle-distance ควร 25–40% ของเวลาฝึกทั้งหมด
4. การพัฒนาความแข็งแรง (Strength, Power, Plyometrics)
ฝึกกล้ามเนื้อแกนกลาง ขา (squat, lunge, plyometric jump) 2–4ครั้ง/สัปดาห์ ในช่วงเตรียมความพร้อม
เน้นแรงระเบิดโดยไม่ให้มวลกล้ามเนื้อใหญ่เกิน (เน้นความคล่องตัว)
เพิ่ม circuit training, medicine ball, bounding, skipping สำหรับทั้ง trip และ endurance
5. การพักฟื้นและการวัดผล
ออกแบบฝึก 2–3 สัปดาห์หนัก สลับ 1 สัปดาห์ recovery (2:1 หรือ 3:1)
วางแผน peak (การฟอร์มให้สูงสุด) ก่อนแข่งใหญ่ล่วงหน้า ลดความหนัก เพิ่มการพัก
ติดตามผลการซ้อมและตอบสนองของร่างกายรายสัปดาห์ เช่น ทดสอบความเร็ว endurance ปรับโปรแกรมทันทีหากจำเป็น
6. โภชนาการและฟื้นฟู
อาหารสมดุลทุกหมู่ เน้นคาร์โบไฮเดรต โปรตีนหลังซ้อม น้ำเพียงพอ และอาหารเสริมถ้าจำเป็น
โปรแกรมยืดเหยียด พักผ่อน นอนให้เพียงพอ เพื่อลดบาดเจ็บและสร้าง supercompensation
หลักคิดสำคัญ
ใช้ “short-to-long” สำหรับสปรินเตอร์: ฝึกซ้อมระยะสั้นก่อน ค่อยเพิ่มระยะ รักษาความเร็วสูงสุด ไม่เน้นซ้อมความหนักปานกลางนาน ๆ
สำหรับระยะกลาง-ยาว: ผสมผสาน endurance กับ speed, ฝึกแบบ interval และ tempo
เสริมสร้างความมั่นคงทางจิตใจ ตั้งเป้าชัดเจน มีโค้ชและทีมซัพพอร์ตที่เข้าใจหลักวิทยาศาสตร์การฝึกซ้อม
การจะสู่ระดับเทศบาลนครเชียงใหม่ต้องเน้นความต่อเนื่อง รอบคอบ และตอบสนองอย่างใกล้ชิดระหว่างวิทยาศาสตร์และสภาพเฉพาะตัวของนักกีฬา
การใช้แบบฝึก "ก้าว 9" พร้อม "ขยับกาย 26 STEP" เป็นวิธีฝึกที่เน้นพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานและความคล่องตัวผ่านการเคลื่อนที่ในตาราง 9 ช่อง ซึ่งช่วยเสริมด้านสมาธิ ความเร็วในการตัดสินใจ และการควบคุมร่างกายอย่างแม่นยำ เหมาะสำหรับพัฒนาความพร้อมทางกายภาพเบื้องต้นก่อนเข้าสู่การฝึกกรีฑาระยะสั้น 60 เมตร โดยหลักการและวิธีใช้งาน รวมถึงข้อดีของแบบฝึกนี้มีดังนี้
ตาราง 9 ช่อง
ตาราง 9 ช่อง คือพื้นที่แบ่งเป็น 3x3 ช่อง เพื่อฝึกการเคลื่อนไหวในมิติหน้า-หลัง, ซ้าย-ขวา และบน-ล่าง
แบบฝึกก้าว 9 เป็นชุดท่าก้าวเท้าที่กำหนดให้เคลื่อนไหวไปยังช่องต่าง ๆ ในตารางอย่างมีจังหวะและรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ก้าวขึ้น-ลง, ก้าวทแยงมุม, ก้าวสามเหลี่ยมซ้อน ฯลฯ
การฝึกนี้จะช่วยให้ร่างกายปรับสมดุล ทรงตัวดีขึ้น และเกิดการประสานงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท
ขยับกาย 26 STEP
เป็นชุดท่าเคลื่อนไหว 26 ขั้นตอนที่เพิ่มความซับซ้อนและความหลากหลายของท่าก้าวเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่ว การควบคุมร่างกาย และการตอบสนองได้เร็วขึ้น
เหมาะกับการนำไปผสมผสานในการฝึกก้าวเร็วและทรงตัวในกีฬากรีฑาระยะ 60 เมตร ที่ต้องใช้ความรวดเร็วและความแม่นยำในการเคลื่อนไหว
ประโยชน์ต่อการพัฒนาการเคลื่อนไหวพื้นฐานสู่กรีฑาระยะ 60 เมตร
ฝึกสมาธิและการควบคุมร่างกายให้เคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วยพัฒนาความคล่องแคล่ว (agility) ซึ่งสำคัญกับการออกตัวและเร่งสปีดในระยะสั้น
เพิ่มความสมดุลและความแข็งแรงกล้ามเนื้อส่วนล่าง
กระตุ้นการทำงานของสมองในด้านการวางแผนเคลื่อนไหวและการตัดสินใจที่รวดเร็ว
วิธีการฝึกโดยทั่วไป
เริ่มจากยืนในช่องเริ่มต้นตามแบบฝึกที่กำหนด
ก้าวเท้าหรือเคลื่อนที่ไปยังช่องที่กำหนดด้วยจังหวะตามขั้นตอน เช่น ก้าวขึ้น ก้าวลง ก้าวออกด้านข้าง หรือก้าวทแยงมุม
ทำซ้ำตามรอบที่กำหนด พร้อมเน้นความแม่นยำและการทรงตัว
สามารถเพิ่มความเร็วและความรุนแรงของการเคลื่อนไหวได้เมื่อชำนาญ
แหล่งอ้างอิงและข้อมูลเพิ่มเติม
แบบฝึกตาราง 9 ช่อง อธิบายโดย รศ.เจริญ กระบวนรัตน์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มีตัวอย่างแบบฝึก 9 รูปแบบก้าวเท้าที่แตกต่างกัน เพื่อพัฒนาการเคลื่อนไหวและคล่องแคล่ว
ขยับกาย 26 STEP เป็นชุดท่าเคลื่อนไหวที่ขยายและซับซ้อนกว่าตาราง 9 ช่องเพื่อให้ต่อยอดสู่การเคลื่อนไหวกรีฑา
เอกสารและ Flipbook แบบฝึกก้าว 9 ขยับกาย 26 STEP มีให้ศึกษาเพิ่มเติมเพื่อฝึกฝนอย่างเป็นระบบ
อ้างอิงจากข้อมูลสำคัญ:
แบบฝึกก้าว 9 ขยับกาย 26 STEP
การใช้แบบฝึก "ก้าว 9" พร้อม "ขยับกาย 26 STEP" เพื่อพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานสู่กรีฑาระยะ 80 เมตร คือการฝึกที่เน้นการพัฒนาความคล่องตัว ความสมดุล การทรงตัว และการประสานงานของกล้ามเนื้อกับระบบประสาท ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการวิ่งระยะสั้น เช่น 80 เมตร โดยมีรายละเอียดและแนวทางฝึก ดังนี้
พื้นฐานของแบบฝึกก้าว 9
ใช้ตาราง 9 ช่อง (3x3 ช่อง) เพื่อฝึกการเคลื่อนไหวในมิติต่าง ๆ ได้แก่ หน้า-หลัง, ซ้าย-ขวา และทแยงมุม
แบบฝึกนี้มีท่าก้าวที่กำหนดลำดับการเคลื่อนที่ไปยังช่องต่าง ๆ อย่างมีจังหวะ เช่น ก้าวขึ้น-ลง, ก้าวออกด้านข้าง, ก้าวเป็นรูปกากบาท, ก้าวทแยงมุม ฯลฯ
ฝึกอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มสมาธิ ความแม่นยำในการเคลื่อนไหว และการตัดสินใจที่รวดเร็ว
ขยับกาย 26 STEP
เป็นชุดท่าทางเคลื่อนไหวที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นจากก้าว 9 เพื่อพัฒนาความคล่องแคล่ว การตอบสนอง และความแข็งแรง
เหมาะกับการนำไปฝึกสำหรับนักวิ่งระยะสั้น เช่น 80 เมตร ที่ต้องการความรวดเร็วและแม่นยำในการก้าวขาและการควบคุมร่างกาย
การบูรณาการฝึกเพื่อพัฒนาการวิ่ง 80 เมตร
เริ่มฝึกก้าว 9 เพื่อปูพื้นฐานของการเคลื่อนไหวที่แม่นยำ
ผสมผสานขยับกาย 26 STEP เพื่อพัฒนาความคล่องตัวและความรวดเร็วในการเปลี่ยนทิศทาง
ฝึกการเคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับเทคนิคการออกตัวและวิ่งระยะสั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเร่งสปีด
ใช้การฝึกเหล่านี้ร่วมกับการฝึกเทคนิควิ่งจริง เช่น การฝึกออกตัว, การฝึกสปีด และการฝึกสปริ้นต์ระยะสั้น
ประโยชน์ต่อการพัฒนาวิ่ง 80 เมตร
เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาส่วนล่างและแกนกลางลำตัว (core)
พัฒนาความสมดุล และลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ
ฝึกสมองให้มีการตัดสินใจเร็วและมีการประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อกับระบบประสาทที่ดี
เสริมสร้างทักษะการเคลื่อนไหวที่หลากหลายและแม่นยำ ซึ่งสำคัญกับการวิ่งระยะสั้นที่ต้องเน้นแรงระเบิดและความรวดเร็ว
แนวทางฝึกปฏิบัติ
ฝึกแบบฝึกในพื้นที่ขนาดเล็กที่จัดเตรียมตาราง 9 ช่องให้ชัดเจน
ทำตามลำดับขั้นตอนทั้ง 9 แบบก้าว และ 26 STEP อย่างช้า ๆ เพื่อความเข้าใจ
เพิ่มความเร็วเมื่อมีความชำนาญมากขึ้น โดยเน้นความถูกต้องและความคล่องตัว
สามารถฝึกเป็นเซ็ต เช่น 3-5 รอบต่อวัน และทำอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 วัน
ตัวอย่างท่าก้าวในตาราง 9 ช่อง (บางส่วน)
ก้าวขึ้น-ลง ช่องต่าง ๆ เพื่อพัฒนาสมดุลและการทรงตัว
ก้าวออกด้านข้างเพื่อเพิ่มความคล่องแคล่วในทิศทางซ้าย-ขวา
ก้าวทแยงมุมแบบไขว้เท้า ช่วยพัฒนาการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อน
ข้อมูลเพิ่มเติมและตัวอย่างแบบฝึกก้าว 9 พร้อมขยับกาย 26 STEP สามารถศึกษาได้จากเอกสารและแหล่งข้อมูล เช่น งานวิจัยของ รศ.เจริญ กระบวนรัตน์ และคู่มือฝึกปฏิบัติแบบ eBook ที่แจกจ่ายในวงการการศึกษาพลศึกษา
โดยรวม การฝึกแบบฝึกก้าว 9 พร้อมขยับกาย 26 STEP เป็นการเตรียมความพร้อมทางร่างกายและสมองที่สำคัญ การฝึกสม่ำเสมอจะช่วยให้นักเรียนวิ่งระยะ 80 เมตรได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น
อ้างอิง: